ทำไปเถอะ เดี๋ยวดีเอง....สมัยเรียนประถม มีงานประกวดพูด งานร้องเพลง
สมัครไปหมดล่ะครับ มีงานแสดงของโรงเรียน ก็เอาหมดครับ ไม่อายครับ... ความหน้าด้านกับความกล้า มันมีความต่างกัน หน้าด้านเป็นการกล้าแสดงออกในทางที่ผิด แต่ความกล้า
เป็นความพยายามแสดงออกในทางที่ถูก เพราะฉะนั้น ด้านได้ อาย-อด ต้องเปลี่ยนใหม่เป็น กล้าแล้วจะได้
อายแล้วจะอด...
...ตอนเรียนประถมก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายหรอกครับ อยากเด่น อยากดัง
ทำให้คนรู้จักไว้ล่ะดี ไปไหนคนก็มองหน้า แอบซุบซิบ หัวเราะคิกคัก เราก็เฉยไว้ คิดบวกไว้ก่อนว่าเขาชม???
แต่เชื่อไหมครับว่า การคิดแบบนั้น ทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้น มีอะไรต่างๆ
มากมายที่ผ่านเข้ามาทดสอบความแกร่งตั้งแต่เด็กๆ เลยล่ะครับ
ทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คำที่ได้ยินบ่อยๆ นี่ก็ประเภท “มันเว่อร์ว่ะ....ขี้มาด....”
และสารพัดคำชม (แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้นะ....โกรธเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ) แต่ก็ดีนะ
เพราะขี้มาดนี่ล่ะ ทำให้ผมดูดี (ฮ่าๆๆๆ) เขาเรียกว่ามีบุคลิกดี!!! นี่ก็สะสมมาเหมือนกัน ค่อยๆ พัฒนาเหมือนกัน
ต้องขอบคุณทุกท่านที่ชมผมแบบนั้น ทำให้ผมเป็นแบบนี้ (แบบไหนกัน?)...สมัยนั้นชอบดูผู้นำประเทศต่างๆ
ดูแล้วเท่มาก ดูดี เชื่อมั๊ยว่าผมลองทำท่าปรากฏตัวต่อที่สาธารณะแบบนายโรนัลด์
เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ ๔๐
หรือแม้กระทั่งท่าทีการพูดของสตรีเหล็กแห่งอังกฤษ มากาเร็ต แทตเชอร์
เธอดูสง่างามมาก เวลาพูดจานี่ฉะฉาน มีความมั่นใจเป็นเลิศ ลองเลียนแบบดู
หยิบเอาสิ่งดีๆ ของเขามา (ที่เราชอบด้วยนะ) ลองทำดู โดยเฉพาะเรื่องการพูดนี่
ผมว่าใช้ได้เลย การเว้นวรรค การใช้น้ำเสียง ผสานกับสีหน้า และอารมณ์
ลองทำและมาปรับให้เข้ากับบุคลิกของตัวเองครับ ใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ครับ...
การฝึกไม่มีอะไรมาก มีแค่กระจกเงา และ ใจ “จงตั้งใจ” ลองไปลองมา
มันก็เป็นเองล่ะครับ การฝึกพูดนั้นผมอัดเทปฟังเสียงของตัวเอง อ่านละครอัดเทป
ร้องเพลงอัดเทปเอาไว้ฟังในรถ เอาให้เหมือนต้นฉบับ ตอนนั้นใครๆ ที่นั่งรถไปกับผม
ก็จะได้ยินเสียงนักร้องเสียงเพี้ยนๆ ไปด้วย
(เขาคงคิดว่ามันออกเทปมาได้งัยเนี่ย???) ตอนนั้นทำเล่นๆ ครับ แต่การทำแบบนั้น
ทำให้ผมได้พัฒนาเรื่องการพูดไปโดยปริยายครับ...
...การทำกิจกรรมต่างๆ
ในสมัยเรียนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราได้พัฒนาทักษะการเป็นผู้นำ-ผู้ตามได้อย่างดีเยี่ยม
ไม่ว่าจะด้านกีฬา ดนตรี เต้นรำ แข่งจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์
(กิจกรรมนี้รวมกลุ่มกันเองครับ!!!) เอาหมดครับ มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่เราจะเริ่ม
เมื่อไหร่เราจะหยุด เป็นเหมือนจังหวะของหัวใจเต้น... ตอนเรียนประถม ๖ ก็สมัครประธานนักเรียน
แต่ตอนนั้นได้เป็นรองประธาน ลุ้นมากครับ ต้องซ้อมเพื่อที่จะปราศรัยหาเสียง
จำความรู้สึกได้ว่าตื่นเต้นสุดๆ (ครั้งแรกของทุกคนจะมีอารมณ์นี้เสมอ)
ต้องเขียนบทเอง ท่องจำ... การขึ้นเวทีปราศรัยนี่ก็ใช่ง่ายนะครับ ขนาดซ้อมกับกระจก
อ่านคำปราศรัยให้พ่อกับแม่ฟัง ก็ยังมีพลาดบ้าง ลืมบ้าง
ผมล่ะเข้าใจความรู้สึกคนที่แนะนำตัวเอง โดยบอกนามสกุลขึ้นมาก่อน เข้าใจได้เลยครับ
แต่สุดท้ายก็ทำได้ The show must go on อีกแล้วครับ...
...เห็นไหมครับว่าหากเราอยากเป็นมืออาชีพ
ไม่มีทางลัดครับ มันต้องสั่งสมกันทั้งนั้น ต้องเริ่มแบบสมัครเล่นก่อน
(ฮ่าๆๆๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดหรอกครับ พลังความคิดยังไม่พอ)
แต่ก็ได้การฟูมฟักจากพ่อแม่พี่น้องที่ช่วยเตือนสติ เตือนแบบหนักบ้าง แอบเตือนบ้าง
แอบดูก็มี คนเราทุกคนต้องผ่านประสบการณ์ครั้งแรกเสมอ เจ็บปวดบ้าง สุขบ้าง
มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตครับ แต่ขอให้ได้เริ่ม
แล้วเราจะรู้ว่ารสชาติของชีวิตที่มีสีสัน มันมักเริ่มต้นเมื่อครั้งที่สองครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น