วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2561

ຖ້າຄິດຈະພັດທະນາອົງກອນ ຂໍເຊີນເບິ່ງເລື່ອງນີ້ກ່ອນເດີ້...

ຖ້າອົງປະກອບຂອງອົງກອນມີຄວາມດຸນດ່ຽງ 
ກໍສາມາດຄາດການໄດ້ວ່າ ອົງກອນຈະມີຄວາມຍືນຍົງ

...ຂອງຝາກ ຂອງຕ້ອນ ສຳລັບຜູ້ທີ່ຮັບຜິດຊອບໃນການພັດທະນາອົງກອນ ທີ່ມີພາລະຮັບຜິດຊອບຢ່າງໃຫຍ່ຫຼວງທີ່ຈະນຳພາພີ່ນ້ອງໃນອົງກອນໄປໃຫ້ຮອດເປົ້າໝາຍທີ່ໄດ້ຕັ້ງໄວ້...ທີ່ຈິງເລື່ອງການພັດທະນາອົງກອນເປັນເລື່ອງຂອງທຸກຄົນ ເຊິ່ງແຕ່ລະຄົນກໍມີບົດບາດໜ້າວຽກທີ່ແຕກຕ່າງກັນໄປ ດັງນັ້ນ ຖ້າເຮົາໄດ້ເປັນຄົນຮັບຜິດຊອບເລື່ອງການພັດທະນາອົງກອນ ເຮົາຈຶງຕ້ອງທຳຄວາມເຂົ້າໃຈເລື່ອງນີ້ໃຫ້ຈະແຈ້ງ ພັດທະນາຫຍັງ, ພັດທະນາໂດຍຜູ້ໃດ ແລະ ພັດທະນາແບບໃດ...

...ເວົ້າເລື່ອງພັດທະນາອົງກອນແລ້ວ ກະເຈັບຫົວລັດໂລດ ຍັງບໍ່ຕ້ອງລົງມືເຮັດ ກະເອົາມືກຸມຫົວແລ້ວ ຍ້ອນວ່າ ມັນມີຫຼາຍເລື່ອງໃຫ້ໄດ້ຄິດນຳ ເຮັດນຳ ແກ້ໄຂປັບປຸງນຳຢູ່ຕະຫຼອດເວລາ...ແຕ່ວ່າການປ່ຽນແປງ ເປັນເລື່ອງທຳມະດາທີ່ເກີດຂຶ້ນ ຜູ້ທີ່ປັບຕົວໄດ້ທັນ ໄດ້ໄວ ກໍຈະຢູ່ຣອດ ເປັນກົດເກນຂອງທຳມະຊາດ...

ເຈົ້າແມ່ນຄົນປະເພດ "ເວົ້າໄດ້" ຫຼື "ໄດ້ເວົ້າ"



..."ອາຈານ ຄົນທຸກມື້ນີ້ເວົ້າບໍ່ຄ່ອຍຄິດໜ້າ ຄິດຫຼັງເນາະ ເວົ້າໄວ ປາກໄວ ຄົນຟັງກໍຮູ້ສຶກບໍ່ຄ່ອຍດີໄປນຳ"...😒

..."ໂດຍ...ເຫັນດີນຳ...ທຳມະຊາດຂອງຄົນເຮົາປາກໄວກວ່າຄວາມຄິດ ຄິດແນວໃດ ກະເວົ້າແນວນັ້ນ ຍ້ອນຄົນທຸກມື້ນີ້ຢູ່ໃນສະພາບແວດລ້ອມທີ່ຕ້ອງຟ້າວ ຕ້ອງໄວ ຕ້ອງທັນໃຈ ອົດທົນບໍ່ໄດ້ ຢາກໄດ້ຫຍັງກໍຕ້ອງໄດ້ທັນທີ"...😌

..."ແມ່ນເດ້ເນາະອາຈານ...ຢາກຮູ້ເລື່ອງຫຍັງກະໄດ້ຮູ້ ຢາກເບິ່ງເລື່ອງຫຍັງກະໄດ້ເບິ່ງ ຢາກໄດ້ເຄື່ອງແນວໃດ ກະຊອກເອົານຳອິນເຕີເນັດ ແລ້ວກະສັ່ງໃຫ້ມາສົ່ງຢູ່ເຮືອນ...ຊີວິດມັນກະເລີຍງ່າຍ ສະບາຍ ໄດ້ຫຍັງກະໄດ້ມາແບບໄວໄວ ງ່າຍໆ...ເປັນຢູ່ເລື່ອຍໆ ກະເລີຍຄຸ້ນຊິນ ກາຍເປັນນິໄສໄປຈ້ອຍ...ຢາກລົມກັບໄຜກໍແຊດຫາ ພິມເອົາ ບໍ່ຕ້ອງໄດ້ເວົ້າຍາກ ຕິດແນວໃດກະພິມແນວນັ້ນ ສົ່ງມາໄວ ກະຕອບໄປໄວ...ພໍຍາມມາເວົ້າ ກະເວົ້າແບບແຊທຫາກັນ"...

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

5 ระดับ กับการพัฒนาตัวเองให้เป็นวิทยากร(มือ)อาชีพ...


เอารูปคนอื่นก็เกรงใจ ใช้รูปตัวเองก็แล้วกัน...


ลงมือทำทันที... ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดครับ ทุกอย่างเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ และผมก็เชื่อมาตลอดว่าทางไปสู่ความเป็นมืออาชีพนั้น “ไม่มีทางลัด”...😁



...เมื่อครั้งเริ่มต้นเป็นวิทยากรใหม่ๆ ผมต้องมานั่งสำรวจดูตัวเองก่อนว่าเรามีคุณสมบัติอะไรบ้าง พอที่จะเป็นวิทยากร (มืออาชีพ) แบบที่เขาๆ เป็นกัน... เราเป็นคนกล้าแสดงออก... เราเป็นคนมีลีลาในการพูดคุย... เราชอบพบปะกับผู้คน... เราเป็นผู้ฟังที่ดี... ท่าทีเราก็ดูดีตอนปรากฏตัว (ถึงเวลาชมตัวเอง???)... เรื่องเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ก็มีประสบการณ์มาบ้าง หาข้อมูลเพิ่มเติม พูดคุยแลกเปลี่ยน ปรึกษาหารือกับพี่ๆ ที่มีประสบการณ์มาก่อน เมื่อคิดว่ามีพร้อม ก็ลงมือทำทันทีล่ะครับ...
...เริ่มจากวางจังหวะการพัฒนาฝีมือของตัวเองก่อนครับ... ดูก่อนว่าเราจะไต่ไปถึงระดับไหน ผมใช้สูตร 5 ระดับ ในการพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นวิทยากร...

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2561

ไกลแค่ไหน ก็อยู่แค่เท้าเรา...


ต้องมีเป้าหมาย...“เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” คำที่คุ้นเคยจากโฆษณาชิ้นหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกคึกคักเมื่อได้ยิน อีกทั้งดนตรีประกอบ ทั้งภาพที่ปรากฏ ยิ่งทำให้เรา “อิน” กับคำๆ นั้น... ผมก็เคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เหมือนกันว่า “เป้าหมาย” ของเราคืออะไร เป้าหมายของชีวิตที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเราเอง...
...เมื่อก่อน สมัยที่พลังทางความคิดยังไม่มากเท่าปัจจุบัน (ปัจจุบันก็มีเท่าที่มีนี่ล่ะครับ...) ได้ยินคำว่า ตั้งเป้าหมายชีวิต ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวจัง... ตอนเรียนประถม มองเห็นรุ่นพี่ที่เรียนมัธยม อยากเรียนบ้าง แต่ทำงัยได้ มันก็เป็นไปตามขั้นตอน อีกตั้งหลายปี เริ่มจินตนาการไปว่าถ้าตัวเองเรียนมัธยมจะเป็นอย่างไร เห็นภาพตัวเองแต่เครื่องแบบนักเรียนมัธยม เออ ดูดี ในจินตนาการ... พอเรียนมัธยม ก็เริ่มมองไปดูรุ่นพี่ที่เรียนมหาวิทยาลัย อยากๆๆ เราต้องทำให้ได้ ก็เริ่มจินตนาการอีกแล้วครับ อยากเป็นนู่นเป็นนี่ เราต้องเรียนคณะอะไรนะ? จินตนาการไปอีกล่ะครับ เออ... เห็นตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ดูดีอีกแล้วครับ... พอเรียนมหาวิทยาลัย ก็เริ่มจินตนาการอยากทำงานตามคณะที่ตัวเองเรียนมา ต้องเป็นนู่น เป็นนี่ให้ได้... เมื่อทำงาน ก็เริ่มมองเห็นบุคคลตัวอย่างที่โดดเด่น บอกตัวเองอีกว่า เราต้องเป็นแบบนั้นให้ได้...

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

3 วิธีที่จะทำให้คุณ "ตัวเล็กลง และใจใหญ่ขึ้น"


ตัวเล็ก และ ใจใหญ่... ฮ่าๆๆๆ ทำยากแฮะ ตอนนี้ก็ตัวใหญ่จนลดลงไม่ได้แล้วครับ สงสัยต้องเปลี่ยนหัวเรื่องเป็น ตัวใหญ่ และ ใจใหญ่ กระมัง...

...คนเป็นวิทยากรกรนี่ ตกเป็นเป้าสายตาเลยนะครับ อารมณ์ของการอยู่ต่อหน้าผู้คน มันทำให้เรารู้สึกโดดเด่น ทำให้เรารู้สึกสำคัญ ทำให้เรารู้สึกว่าได้รับการยอมรับ ผู้คนพร้อมที่จะฟัง ครั้งเดียวยังไม่เท่าไหร่ครับ เมื่อผ่านเวทีมากๆ เข้า เริ่มมั่นใจมากขึ้น ส่วนมากก็จะได้รับคำชม “โอ คักน้อ (คักน้อ เป็นภาษาอีสานครับ ตีความได้ว่า สุดยอด เจ๋ง) อาจารย์.... อาจารย์พูดดีเนาะ ฟังแล้วสนุก... ทำยังงัยถึงจะเก่งแบบอาจารย์นี่... สุดยอดเลยอาจารย์...” และ อีกสารพัดคำชมเชย ซึ่งผมรับฟังและเคารพในอารมณ์ความรู้สึกของผู้เข้ารับการอบรมอย่างตั้งใจ เป็นสิ่งที่มีค่ามากมาย เพราะกลั่นออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง แตกต่างกันไปตามการรับรู้ของแต่ละคน... ขอบคุณมากครับ... ฟังบ่อยๆ หัวใจพองโต มีพลังอย่างบอกไม่ถูก ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตามความหมายของคำว่า “มืออาชีพ” ของผม “การสร้างคน”...

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2561

3 ต้นทุนที่วิทยากร(มือ)อาชีพต้องมี

สะสมต้นทุนวิทยากร(มือ)อาชีพ....ถ้าไม่นั่งย้อนมองดูพัฒนาการของตัวเอง เราไม่มีทางรู้ได้แน่นอนว่า ทุกสิ่งที่เป็นตัวเรานั้น มันไม่ได้มาฟรีๆ ทุกอย่างมีต้นทุนทั้งนั้นครับ...
...การจะเป็นมืออาชีพ เราก็ต้องตั้งเป้าซะก่อนว่า “มืออาชีพ” ในความหมายของเราคืออะไร...เป้าของผมคือ “สร้างคน” ขอแค่คนเดียวที่มีคุณภาพ ผมก็มองว่าผมบรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องสร้างไปเรื่อยๆ ครับ... มืออาชีพ ต้องสะสมต้นทุนอะไรบ้าง... หนึ่ง ต้นทุนความรู้ ความสามารถ ความคิด การมองโลก สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นอยู่ต่อเนื่อง (ผมเชื่อว่าความต่อเนื่องเป็นกลไกสำคัญที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จในทุกเรื่อง) สอง การรักษาคำพูดก็เป็นเรื่องที่สำคัญ พูดจริง ทำจริง มีสติ และ ต้นทุนที่ สาม ก็คือ การใส่ใจกับผู้คนรอบข้าง การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้คน (ยากหน่อย แต่ก็ต้องฝึก สะสมประสบการณ์)....
...ต้นทุนความรู้ มีเรื่องอะไรบ้าง... ตอบแบบกำปั้นทุบดินครับ ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราเรียนและรู้ได้ เปิดใจกับสิ่งที่ผ่านเข้ามา ซักพักเราจะรู้ได้เองว่า อะไรที่ใช่ หรือ ไม่ใช่... การอ่านก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้เราได้พัฒนาเรื่องความรู้ ผมเห็นว่าการอ่านไม่ได้ทำให้เราได้ความรู้เพียงอย่างเดียว เราได้สมาธิ เราได้คำศัพท์ใหม่ๆ เราได้คำถามจากการอ่าน เราได้มองโลกในมุมของผู้เขียน เราได้เปิดใจ เราได้ทักษะการสื่อสารผ่านตัวหนังสือ เราได้ฝึกจินตนาการ เห็นไหมล่ะครับ การอ่านสร้างสีสันให้กับชีวิตได้มากโข ผมตั้งเป้าอ่านหนังสือก่อนนอนทุกคืน จะกี่มากน้อยก็ตาม แต่ต้องได้อ่าน (บางเรื่องอ่านเพลินจนดึกก็มี) ลองดูนะครับ...
...ทักษะที่จำเป็นของการเป็นวิทยากร อย่างที่เราๆ ก็รู้กันว่า ต้องพูดเป็น ฟังเป็น พูดง่ายๆ คือสื่อสารเป็น แต่จริงๆ แล้วนี่ คนที่เป็นวิทยากร เขาดูตั้งแต่ปรากฏตัวแล้วครับ นั่นก็เป็นการสื่อสาร การแต่งกายถูกกาละเทศะ เอาเป็นว่าแต่งกายเรียบร้อย ถูกงาน ทรงผมเรียบร้อย ดูดี (สำหรับผม ไม่มีผม คงไม่มีปัญหา😇) ยิ้มแย้มแจ่มใส การยิ้มก็ต้องฝึกนะครับ ฝึกยิ้มให้กับตัวเองตอนตื่นนอน (แม้ว่ามันจะไม่โสภาเท่าไหร่ แต่ก็หน้าเรา) และ ก่อนนอน...ยิ้มแบบไหนผู้คนจะประทับใจ อันนี้ต้องลองเองครับ...
...การพูดจริง ทำจริง รักษาคำพูด เริ่มต้นจากการรักษาคำพูดกับตัวเอง ตั้งเป้าหมายชีวิตให้ชัด และทำไปเรื่อยๆ ถ้ามองดูเป้าหมายมันอยู่ไกลไป มันเป็นไปได้หรือเปล่าหว่า??? ก็กลับมาดูทีละก้าวน้อยๆ... ก้าวน้อยๆ นี่ล่ะครับ ที่มีความสำคัญมากมายต่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่...
...การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ที่ผมบอกว่าต้องฝึก เริ่มต้นจากการฟังเขา ฟังแบบตั้งใจ ไม่ตัดสินด้วยตัวเรา และ เข้าใจเขา แรกๆ ก็อึดอัด งงๆ แต่เมื่อฟังมากๆ เข้า เราจะเริ่มรับอารมณ์ได้ น้ำเสียง กิริยาท่าทางของเขาที่แสดงออกมา ที่สำคัญคือการตอบสนองกับสิ่งที่เขาเล่าให้ฟัง การผงกศีรษะเล็กน้อย การยิ้มเพื่อเชื้อเชิญให้เขาพูด จากประสบการณ์ของผม การฟังทำให้ได้มิตรภาพที่ดีเสมอครับ...
....และมาถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ทั้งสามเรื่องที่กล่าวมานั้นมันสัมฤทธิ์ผล นั่นคือ การทำตัวให้เล็กครับ อ๊ะ...อ๊ะ... อย่าพูดถึงขนาดร่างกายนะครับ ผมกำลังพูดถึงการทำตัวเองให้เล็กเพื่อเปิดใจให้ใหญ่ “ตัวเล็ก แต่ ใจใหญ่”...
...ติดตามตอนต่อไปนะครับ...😊

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2561

"กล้า" กับ "หน้าด้าน" ต่างกันตรงไหน?

ทำไปเถอะ เดี๋ยวดีเอง....สมัยเรียนประถม มีงานประกวดพูด งานร้องเพลง สมัครไปหมดล่ะครับ มีงานแสดงของโรงเรียน ก็เอาหมดครับ ไม่อายครับ... ความหน้าด้านกับความกล้า มันมีความต่างกัน หน้าด้านเป็นการกล้าแสดงออกในทางที่ผิด แต่ความกล้า เป็นความพยายามแสดงออกในทางที่ถูก เพราะฉะนั้น ด้านได้ อาย-อด ต้องเปลี่ยนใหม่เป็น กล้าแล้วจะได้ อายแล้วจะอด...
...ตอนเรียนประถมก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายหรอกครับ อยากเด่น อยากดัง ทำให้คนรู้จักไว้ล่ะดี ไปไหนคนก็มองหน้า แอบซุบซิบ หัวเราะคิกคัก เราก็เฉยไว้ คิดบวกไว้ก่อนว่าเขาชม??? แต่เชื่อไหมครับว่า การคิดแบบนั้น ทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้น มีอะไรต่างๆ มากมายที่ผ่านเข้ามาทดสอบความแกร่งตั้งแต่เด็กๆ เลยล่ะครับ ทั้งดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คำที่ได้ยินบ่อยๆ นี่ก็ประเภท “มันเว่อร์ว่ะ....ขี้มาด....” และสารพัดคำชม (แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้นะ....โกรธเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ) แต่ก็ดีนะ เพราะขี้มาดนี่ล่ะ ทำให้ผมดูดี (ฮ่าๆๆๆ) เขาเรียกว่ามีบุคลิกดี!!! นี่ก็สะสมมาเหมือนกัน ค่อยๆ พัฒนาเหมือนกัน ต้องขอบคุณทุกท่านที่ชมผมแบบนั้น ทำให้ผมเป็นแบบนี้ (แบบไหนกัน?)...สมัยนั้นชอบดูผู้นำประเทศต่างๆ ดูแล้วเท่มาก ดูดี เชื่อมั๊ยว่าผมลองทำท่าปรากฏตัวต่อที่สาธารณะแบบนายโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ ๔๐ หรือแม้กระทั่งท่าทีการพูดของสตรีเหล็กแห่งอังกฤษ มากาเร็ต แทตเชอร์ เธอดูสง่างามมาก เวลาพูดจานี่ฉะฉาน มีความมั่นใจเป็นเลิศ ลองเลียนแบบดู หยิบเอาสิ่งดีๆ ของเขามา (ที่เราชอบด้วยนะ) ลองทำดู โดยเฉพาะเรื่องการพูดนี่ ผมว่าใช้ได้เลย การเว้นวรรค การใช้น้ำเสียง ผสานกับสีหน้า และอารมณ์ ลองทำและมาปรับให้เข้ากับบุคลิกของตัวเองครับ ใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ครับ... การฝึกไม่มีอะไรมาก มีแค่กระจกเงา และ ใจ “จงตั้งใจ” ลองไปลองมา มันก็เป็นเองล่ะครับ การฝึกพูดนั้นผมอัดเทปฟังเสียงของตัวเอง อ่านละครอัดเทป ร้องเพลงอัดเทปเอาไว้ฟังในรถ เอาให้เหมือนต้นฉบับ ตอนนั้นใครๆ ที่นั่งรถไปกับผม ก็จะได้ยินเสียงนักร้องเสียงเพี้ยนๆ ไปด้วย (เขาคงคิดว่ามันออกเทปมาได้งัยเนี่ย???) ตอนนั้นทำเล่นๆ ครับ แต่การทำแบบนั้น ทำให้ผมได้พัฒนาเรื่องการพูดไปโดยปริยายครับ...
...การทำกิจกรรมต่างๆ ในสมัยเรียนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราได้พัฒนาทักษะการเป็นผู้นำ-ผู้ตามได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะด้านกีฬา ดนตรี เต้นรำ แข่งจักรยานบีเอ็มเอ๊กซ์ (กิจกรรมนี้รวมกลุ่มกันเองครับ!!!) เอาหมดครับ มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่เราจะเริ่ม เมื่อไหร่เราจะหยุด เป็นเหมือนจังหวะของหัวใจเต้น... ตอนเรียนประถม ๖ ก็สมัครประธานนักเรียน แต่ตอนนั้นได้เป็นรองประธาน ลุ้นมากครับ ต้องซ้อมเพื่อที่จะปราศรัยหาเสียง จำความรู้สึกได้ว่าตื่นเต้นสุดๆ (ครั้งแรกของทุกคนจะมีอารมณ์นี้เสมอ) ต้องเขียนบทเอง ท่องจำ... การขึ้นเวทีปราศรัยนี่ก็ใช่ง่ายนะครับ ขนาดซ้อมกับกระจก อ่านคำปราศรัยให้พ่อกับแม่ฟัง ก็ยังมีพลาดบ้าง ลืมบ้าง ผมล่ะเข้าใจความรู้สึกคนที่แนะนำตัวเอง โดยบอกนามสกุลขึ้นมาก่อน เข้าใจได้เลยครับ แต่สุดท้ายก็ทำได้ The show must go on อีกแล้วครับ...
...เห็นไหมครับว่าหากเราอยากเป็นมืออาชีพ ไม่มีทางลัดครับ มันต้องสั่งสมกันทั้งนั้น ต้องเริ่มแบบสมัครเล่นก่อน (ฮ่าๆๆๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดหรอกครับ พลังความคิดยังไม่พอ) แต่ก็ได้การฟูมฟักจากพ่อแม่พี่น้องที่ช่วยเตือนสติ เตือนแบบหนักบ้าง แอบเตือนบ้าง แอบดูก็มี คนเราทุกคนต้องผ่านประสบการณ์ครั้งแรกเสมอ เจ็บปวดบ้าง สุขบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตครับ แต่ขอให้ได้เริ่ม แล้วเราจะรู้ว่ารสชาติของชีวิตที่มีสีสัน มันมักเริ่มต้นเมื่อครั้งที่สองครับ...

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

เรื่องอยากเล่า...ต้นทุนการเป็น "วิทยากร"...


ผมไม่รู้ว่าชอบอาชีพนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่... รู้เพียงแค่ว่า พ่อกับแม่ ได้สร้างประสบการณ์การเป็นนักพูด การขึ้นเวทีให้ผมตั้งแต่เด็กๆ...
พ่อของผมรับราชการเป็นนายช่างชลประทาน ใครๆ ก็เรียกท่านว่า “นายช่างบ้านนอก” ภาพที่คุ้นตาผมคือ เวลามีงานเลี้ยง พ่อจะเป็นคนที่พูดคุย ให้โอวาทกับบรรดาลูกน้องของท่านอยู่เสมอ พ่อเป็นนักพูดตัวแบบ ที่พูดได้ตรงไปตรงมา พูดได้จับใจ... ช่วงเวลาปิดเทอม แม่ก็จะแต่งปิ่นโต ให้ไปทำงานกับพ่อ วิ่งเล่นตามคลอง ใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนงานเยอะแยะไปหมด สภาพแวดล้อมที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลากหลายแตกต่าง คงทำให้ผมเป็นคนไม่กลัวคน กล้าพูด กล้าที่จะเข้าไปหาคนที่เราไม่รู้จัก เริ่มต้นการสนทนาด้วยเรื่องพื้นๆ ทั่วไป... มานั่งนึกๆ รำลึกความหลัง ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ที่เราเป็นอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะการสั่งสมประสบการณ์มาตั้งแต่เด็ก บางทีพ่อกับแม่อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า มันส่งผลต่ออนาคตของผมอย่างต่อเนื่อง และมีพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ
แม่ผมรับราชการเช่นกัน สังกัดกรมการปกครอง วันไหนเป็นวันหยุด แม่จะพาไปทำงานด้วย ไปนั่งพิมพ์ดีด สมัยต๊อกแต๊กน่ะครับ ยังไม่มีคอมพิวเตอร์จิ้มๆ รูดๆ เหมือนทุกวันนี้ ทักษะด้านหนึ่งที่ได้มา คือ ทักษะการพิมพ์ แต่ที่สำคัญ ตอนนั้น เราต้องมานั่งนึกเรื่องราว จินตนาการแล้วแปลงออกมาเป็นหนังสือ ผ่านเครื่องพิมพ์ดีดต๊อกแต๊กนั่นล่ะครับ จุดเริ่มของการใช้จินตนาการ การเลือกใช้คำที่พัฒนามาเรื่อยๆ แม่เป็นคนที่มีทักษะในการสื่อสารมากครับ พูดมีหลักการ มีการอ้างอิงข้อคิด คำคม เยอะแยะไปหมด บางปีในวันคล้ายวันเกิด ท่านก็เขียนข้อคิดคำคมต่างๆ ใส่กระดาษธรรมดาๆ ส่งให้ผม ผมก็ได้ข้อคิดเหล่านี้มาปรับใช้กับชีวิตได้มากโข... แม่เป็นนักลงทุนเพื่ออนาคตให้กับลูกๆ เสมอมา มีบริษัทมาขายเทปคาสเซ็ตเรียนภาษาอังกฤษ ราคาแพงมากๆ แต่แม่ก็ซื้อครับ และ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของผมที่ได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ของผม และ เช่นกัน แบบงูๆ ปลาๆ นี่ล่ะครับ ที่ทำให้ผมใช้ภาษาอังกฤษหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่จนทุกวันนี้
สภาพแวดล้อมก็เป็นตัวสำคัญครับ ที่ทำให้ผมพัฒนาทักษะการพูด การนำเสนอ โดยปกติ สังคมข้าราชการสมัยก่อน มีการพบปะกันบ่อยมาก (ในความรู้สึกผมนะ...) เกือบจะทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ว่าได้ ญาติๆ น้าๆ ลุงๆ ส่วนใหญ่ร้องเพลงกันเก่ง ผมก็พลอยได้ฝึกทักษะการร้องเพลงตามไปด้วย มากินข้าวเย็นกัน ร้องเพลง สนุกสนานกันไป เด็กก็ชอบ เพราะมีรางวัลแจกให้ด้วย ใครร้องเพลงได้ (ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง) ก็รับรางวัลไปเต็มๆ นี่ก็เป็นกุศโลบายที่ทำให้เด็กๆ กล้าแสดงออก บางทีไม่กล้า ท่านก็ดันหลัง ลุยเลย ยังจำได้ว่า มีเก้าอี้หนึ่งตัว ตั้งอยู่กลางวง ใครจะร้องเพลง ต้องขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ บางทีก็จับยกขึ้นไปยืนเลย ต้องคิดแล้วว่าจะแนะนำตัวอย่างไร เริ่มต้นยังงัย จบอย่างไรให้ประทับใจ เพื่อให้ได้รางวัลขวัญใจบรรดาท่านผู้ฟังที่กระเป๋าหนักทั้งหลาย นี่ล่ะครับ ผมซาบซึ้งกับคำว่า The show must go on...มันเป็นเช่นนี้เอง...เข้าท่า... อ้อ... พ่อกับแม่ก็เป็นนักฟังเพลงตัวยง ผมเติบโตมากับเสียงเพลงสมัยเก่าๆ ก้าน แก้วสุพรรณเอย ดาวใจ ไพจิตรเอย สุนทราภรณ์เอย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมกลับชอบฟังโอเปร่า ฮ่าๆๆๆ สงสัยจะกลายพันธุ์ เป็นอันว่าผมได้ทักษะเรื่องการร้องเพลง รู้จักจังหวะ การเอื้อน การเอ่ย มาแบบไม่รู้ตัว ซึ่งทักษะนี้ส่งผลให้ผมรู้จักจังหวะการพูด การเน้นคำ การใช้อารมณ์ให้ถูกต้องกับสิ่งที่เราต้องการสื่อสารออกไป... ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขนาดนี้...
....เจอกันใหม่ตอนต่อไปครับ...

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

"ຫົວໜ້າ" ຄືສຳຄັນຄັກແທ້ກັບອົງກອນ...?


...ຂຶ້ນຊື່ວ່າ "ຫົວໜ້າ" ຜູ້ໃດກໍເກງໃຈ ແລະ ເຄົາລົບ ຍ້ອນວ່າມີບົດບາດໜ້າວຽກໃນການນຳພາ ແລະມີອຳນາດໃນການຕັດສິນໃຈ ດັງນັ້ນ ກໍເປັນເລື່ອງທຳມະດາທີ່ຜູ້ຢູ່ໃຕ້ບັງຄັບບັນຊາຈະຕ້ອງໃຫ້ຄວາມເກງໃຈ ແລະ ເຄົາລົບ...

...ໃນທາງກົງກັນຂ້າມ ຫົວໜ້າ ກໍຕ້ອງເຮັດຕົວໃຫ້ນ່າເຄົາລົບ ບັນຍາກາດຂອງການນຳພາ ແລະໄປນຳກັນຈຶງຈະມ່ວນ ແລະ ວຽກງານສຳເລັດ..."ຄົນສຳລານ ງານສຳເລັດ" (ຂໍຍືມຄຳເວົ້າອາຈານໂກວິດ ກຸນສຸວັນ ຈາກມູນນິທິພັດທະນາອີສານ NET Foundation ມາເວົ້າຕໍ່)...

...ສິ່ງທຳອິດທີ່ ຫົວໜ້າ ຕ້ອງມີ ແມ່ນ ຕ້ອງຮູ້ຕົວເອງວ່າເຈົ້າຂອງນ່ະເປັນ ຫົວໜ້າ ແລ້ວ ບໍ່ແມ່ນລູກນ້ອງແລ້ວ ບົດບາດປ່ຽນໄປແລ້ວ ໜ້າວຽກກໍປ່ຽນໄປແລ້ວ ຖ້າຊີເຮັດຕົວເອງຄືເກົ່າ ກະຊີບໍ່ແມ່ນແລ້ວ...

...ຄຳວ່າ "ຫົວໜ້າ" ປະກອບດ້ວຍສອງຄຳ ແມ່ນຄຳວ່າ "ຫົວ" ກັບຄຳວ່າ "ໜ້າ"...

..."ຫົວ" ມີໄວ້ເຮັດຫຍັງ...ມີໄວ້ໃຫ້ຜົມຢູ່ 😂 ນັ້ນກະແມ່ນ...ຄົນທີ່ເປັນ "ຫົວໜ້າ" ມີຫົວໄວ້ສຳລັບ "ຄິດ"...ຄິດໃຫ້ໄດ້ ຄິດໃຫ້ເປັນ ແລະ ຄິດໃຫ້ຖືກ ຄິດໃຫ້ສ້າງສັນ ໃຫ້ເກີດປະໂຫຍດ...ເຂົາໃຫ້ເປັນຫົວໜ້າແລ້ວ ຕ້ອງຮູ້ຈັກ ຄິດ...ການຄິດໄດ້  ຄິດເປັນ ຄິດຖືກ ເລິ່ມຕົ້ນຈາກການເປີດໃຈຕົວເອງໃຫ້ໄດ້ ການເປີດໃຈຕົວເອງໃຫ້ໄດ້ດີ ຕ້ອງເລິ່ມຈາກຮູ້ຈັກຕົວເອງ ແລະຖ້າຈະຮູ້ຈັກຕົວເອງໄດ້ດີ ກໍຕ້ອງຮູ້ຈັກຍອມຮັບຕົວເອງ ຈຸດດີ ຈຸດອ່ອນຂອງຕົວເອງກະຕ້ອງຮູ້ແລະຍອມຮັບ ຈະຍອມຮັບຕົວເອງໄດ້ດີ ກໍຕ້ອງເຂົ້າໃຈວ່າເຮົາມີຊີວິດຢູ່ເພື່ອຫຍັງ...ຊີວິດຄົນມັນສັ້ນໃດ໋...

...ເມື່ອເຂົ້າໃຈຕົວເອງແລ້ວ (ແບບບໍ່ລຳອຽງ) ການເຂົ້າໃຈຄົນອື່ນມັນກໍງ່າຍຂຶ້ນ...ຄົນອື່ນກະມີຄວາມຕ້ອງການຄືເຮົາ...ເຂົາຢາກໄດ້ ຢາກດີຄືເຮົາຢາກ...ເຂົາຢາກຮັ່ງ ຢາກມີ (ເຮົາກະຄືກັນ)...ເຂົາຢາກປະສົບຄວາມສຳເລັດໃນຊີວິດ (ເຮົາກະຄືກັນ)...ເຂົາຢາກມີຫົວໜ້າທີ່ດີ ທີ່ນ່ານັບຖື ທີ່ເຂົ້າໃຈເຂົາ (ເຮາກະຄືກັນ ຢາກມີທີມງານທີ່ເຂົ້າໃຈກັນ)...ໃນຖານະທີ່ເປັນ ຫົວໜ້າ ຕ້ອງຄິດສະເໝີວ່າ "ເຂົາກະຄົນຄືກັນກັບເຮົາ ມີຄວາມຮູ້ສຶກ ຄືກັນກັບເຮົາ"...

...ການທີ່ "ຫົວໜ້າ" ຈະຄິດ ແລ້ວຮູ້ສຶກ ແລ້ວເຂົ້າໃຈ ແລະ ສະແດງອອກໄດ້ຢ່າງເໝາະສມ ຕ້ອງມີ ສະຕິ ເລື່ອງແບບນີ້ຕ້ອງຝຶກເອງເດີ້ ຮູ້ແລ້ວກະເຮັດ ເປັນ "ຫົວໜ້າ" ແລ້ວໄດ໋...ຍາມພົບບັນຫາ ໃຫ້ຄິດໄປທາງໜ້າ ຢ່າຈົມກັບອະດີດ ແນວແກ້ໄຂບໍ່ໄດ້ ຢ່າໄປໂທດຄົນອື່ນ ໃຫ້ວາງເປົ້າໝາຍໃຫ້ແຈ້ງ ແລ້ວພາທີມງານໄປໃຫ້ໄດ້ ຖ້າມີຫຍັງຜິດພາດມາ ໃຫ້ຫາບົດຮຽນໃຫ້ພົບ ບໍ່ແມ່ນຫາຄົນຜິດ ຈາກນັ້ນພາທີມງານກ້າວຕໍ່ໄປ...ນີ່ລ່ະ ເຂົາເອິ້ນວ່າມີ "ຫົວ" ໄວ້ສຳລັບ "ຄິດ" ບໍ່ແມ່ນ ມີຫົວໄວ້ໃຫ້ຜົມຢູ່...

...ທີນີ້ເຮົາມາເບິ່ງເລື່ອງ "ໜ້າ" ມີຫຼາຍຄວາມໝາຍ...

...ໜ້າຕາ...ຫົວໜ້າເປັນໜ້າຕາຂອງອົງກອນ ເປັນຕາງໜ້າຂອງອົງກອນ ມີຄຳເວົ້າວ່າ ຫົວໜ້າເປັນແນວໃດ ທີມງານກໍຈະເປັນແນວນັ້ນ ວັດຖະນະທຳໃນອົງກອນ ກໍຈະເປັນໄປຕາມ ຫົວໜ້າ ຜູ້ນຳພາຫັ້ນລ່ະ...ການເປັນໜ້າຕາໃຫ້ກັບອົງກອນ ຕ້ອງມີວາດມີຊົງ ເຮັດໃຫ້ຄົນເກີດຄວາມປະທັບໃຈ...ວາດຊົງແນວໃດ໋ ກະເອົາວ່າ ຄນມອງເຫັນແລ້ວເຂົາເຈົ້າວ່າ "ຄື" ຫັ້ນລ່ະ...ຄົນທີ່ເປັນຜູ້ນຳຄົນ ຈະມີບຸກຄະລິກໂດດເດັ່ນ ມີຄວາມໝັ້ນໃຈ ມີຄວາມກ້າຫານ ຄວາມສຸຂຸມ ໃຈເຍັນ ໃຈດີ ເຫັນແລ້ວສະບາຍຕາ ໄດ້ຟັງແລ້ວສະບາຍຫູ...

...ໜ້າ (ນ່າ) ນັບຖື...ຫົວໜ້າຕ້ອງມີຄວາມຮູ້ ມີຄວາມສາມາດ ມີທັດສະນະຄະຕິທີ່ຖືກຕ້ອງໃນການເຮັດວຽກ ໃນການໃຊ້ຊີວິດ ໃນການນຳພາອົງກອນໄປຂ້າງໜ້າ...ຮູ້ຈັກເອົາໃຈເຂົາ ມາໃສ່ໃຈເຮົາ ເວົ້າໃຫ້ແຈ້ງກະຄື ໃຫ້ເຂົ້າໃຈຄວາມຮູ້ສຶກຂອງຄົນອື່ນແລະສະແດງອອກຢ່າງແທດເໝາະ ຖືກເວລາ ແລະຖືກສະຖານທີ່...ເລື່ອງແບບນີ້ກໍຕ້ອງຝຶກອີກຫັ້ນລ່ະ ເຈົ້າເປັນຫົວໜ້າລ່ະເດ້...

...ໜ້າ (ນ່າ) ຮັກ...ຫົວໜ້າທີ່ດີ ຈະຮູ້ຈັງຫວະວ່າ ຢາມໃດຈະຫຼິ້ນ ຢາມໃດຈະຈິງຈັງ ຍາມໃດຊີພາທີມງານມ່ວນ ຢາມໃດຈະພາທີມງານບຸກຕະລຸຍ ເຂົາຮ້ອງວ່າ ຮູ້ຈັກສ້າງບັນຍາກາດທີ່ດີໃນການເຮັດວຽກ...ແຮ່ງເປັນຫົວໜ້າຕຳແໜ່ງໃຫຍ່ໂຕ ເຮົາກໍຢ່າໄປໃຫຍ່ນຳຕຳແໜ່ງ ເຮັດຕົວໃຫ້ນ້ອຍເຂົ້າໄວ້ ເຮັດໃຫ້ຄົນເຂົ້າຫາໄດ້ງ່າຍ ປຶກສາຫາລືໄດ້ ບໍ່ຖືຕົວເອງ...ແບບນີ້ລະ ເຂົາຮ້ອງວ່າ ນ່າຮັກ...

...ປັດໄຈທີ່ຈະພາອົງກອນໄປສູ່ຄວາມສຳເລັດ ແມ່ນມີຫຼາຍເລື່ອງ ບໍ່ແມ່ນແຄ່ເລື່ອງ ຫົວໜ້າ...ອົງກອນຈະປະສົບຄວາມສຳເລັດໄດ້ ຕ້ອງມີລະບົບທີ່ດີ, ມີຊື່ສຽງ, ມີຄວາມສຳພັນທີ່ດີກັບຄູ່ຮ່ວມງານ, ແລະຄຸນນະພາບວຽກງານທີ່ໄດ້ຮັບການຍອມຮັບ...ແຕ່ ຫົວໜ້າ ນີ່ລ່ະ ເປັນຄົນສຳຄັນ ທີ່ຈະນຳພາໃຫ້ອົງປະກອບຕ່າງໆ ປະສົມປະສານ ດຸນດ່ຽງ ແລະ ຂັບເຄື່ອນໄປໄດ້ ເກີດຂຶ້ນຈິງໄດ້ ດັງນັ້ນ ຫົວໜ້າທີ່ດີຈຶງຕ້ອງພິຈາລະນາຕົວເອງຢ່າງສະໝ່ຳສະເໝີວ່າ ເຮົາເຮັດບົດບາດ ໜ້າວຽກໄດ້ຄັກແລ້ວບໍ້ ເຮົາຍັງເປັນ "ຫົວ" ແລະ "ໜ້າ" ໄດ້ດີຢູ່ບໍ້ ຕ້ອງປັບປຸງຫຍັງແດ່...ຖ້າບໍ່ໄຫວ ເຮັດບໍ່ໄດ້ ກໍຄວນພິຈາລະນາຕົວເອງ...

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

3 ສິ່ງທີ່ທ່ານຈະໄດ້ຈາກສວນປັນຮັກ...

😍 ...ປັນຮັກ...ຮັກຫຼາຍແທ້ບໍ້...ຫຼາຍຈົນໄດ້ປັນໃຫ້ກັນນໍ້...


...ວັນນີ້ຜູ້ຂຽນແລະທີມງານຄຸນນະພາບ 😉 ໄດ້ມີໂອກາດໄປຍ່ຽມຢາມ "ສວນປັນຮັກ" ທີ່ເມືອງສັງທອງ ນະຄອນຫຼວງວຽງຈັນ...ຫຼັງຈາກທີ່ຜູ້ຂຽນໄດ້ສັນຍາກັບເຈົ້າຂອງສະຖານທີ່ວ່າຈະຫາໂອກາດໄປຍ່ຽມຢາມ ກໍນັບເວລາໄດ້ເປັນປີພູ່ນລະ ແລະ ໃນທີ່ສຸດກໍໄດ້ເຮັດຕາມສັນຍາທີ່ບອກໄວ້...

...ການເດີນທາງໄປ "ສວນປັນຮັກ" ບໍ່ຫຍຸ້ງຍາກ ຖ້າທ່ານອອກຈາກນະຄອນຫຼວງ ທ່ານກໍມຸ່ງໜ້າໄປທາງເມືອງສັງທອງໄດ້ເລີຍ ໄປເລື້ອຍໆ ຈົນຮອດບ້ານຫິນລາດ ທ່ານກໍລ້ຽວຂວາຂ້າງວັດບ້ານຫິນລາດ ແລະ ໄປຕາມທາງເລື້ອຍໆ ປະມານຫຼັກໜຶ່ງ ກໍຈະຮອດເປົ້າໝາຍ "ສວນປັນຮັກ"...

..."ສວນປັນຮັກ" ຕິດກັບຕີນພູ...ອາກາດດີຫຼາຍ...ວັນທີ່ໄປນັ້ນເປັນຊ່ວງໜ້າຮ້ອນ ແຕ່ກໍມີລົມເລື້ອຍໆ...ຖ້າເປັນໜ້າໜາວ ຄົງຈະອາກາດດີຫຼາຍ ເໝາະກັບການກາງເຕັ້ນ ນອນຮັບລົມໜາວ...
...ພື້ນທີ່ເຕັມໄປດ້ວຍພືດພັນຕ່າງໆ ປູກທຸກຢ່າງທີ່ກິນ ກິນທຸກຢ່າງທີ່ປູກ ລ້ຽງເປັດ ໄກ່ ໝູ ສາມາດເປັນບ່ອນໃຫ້ສຶກສາດູງານໄດ້ ຮັບຮອງວ່າບໍ່ຜິດຫວັງ...

ບໍລິເວນດ້ານໜ້າທາງເຂົ້າ ຈະເຫັນອາຄານຫຼັງໜຶ່ງທີ່ໂດດເດັ່ນ ນັ່ນແມ່ນບ້ານທີ່ເຮັດຈາກດິນ ໂດຍຝີມືເຈົ້າຂອງສວນ ຖ້າທ່ານສົນໃຈ ເຈົ້າຂອງສວນເພິ່ນກໍຍິນດີໃຫ້ຄວາມຮູ້...

...ກ່ອນການຍ່າງເລາະເບິ່ງສວນ ເຮົາກໍຖ່າຍຮູບກັນກ່ອນ ເພື່ອຍືນຍັນວ່າມາຮອດ "ສວນປັນຮັກ" ແທ້...
...ທີມງານເທືອນີ້ ປະກອບດ້ວຍ ຜູ້ໃຫຍ່ໃຈດີ ແມ່ສຸພອນ, ນ້ອງນາງສົມພອນ, ນ້ອງລອລ່າກັບລູກຊາຍ, ແລະ ນ້ອງແນະ...ເບິ່ງຈາກຮູບກໍຈະເຫັນວ່າ ມີຄວາມສຸກກັນຫຼາຍ 😄

..."ສວນປັນຮັກ" ມີແນວຄິດທີ່ເລິກເຊີ້ງ ຈາກທີ່ໄດ້ລົມກັບເຈົ້າຂອງສວນ...ເພິ່ນບອກວ່າ ມາສວນແລ້ວ ຈະໄດ້ 3 ຮັກ...ຮັກທີ່ໜຶ່ງ ແມ່ນຮັກສະພາບແວດລ້ອມ ຮັກໂລກ ຍ້ອນວ່າຢູ່ສວນນີ້ ບໍ່ໃຊ້ສານເຄມີ ເນັ້ນກະສິກຳທຳມະຊາດ ເນັ້ນການຈັດລະບົບນິເວດແບບທຳມະຊາດ ໃຫ້ທຳມະຊາດຈັດການຕົວເອງ ຕົວຢ່າງ ເມື່ອມີແມງໄມ້ຫຼາຍ ມັນກໍກັດຕົ້ນໄມ້ ໃນຂະນະດຽວກັນ ໄກ່ທີ່ລ້ຽງໄວ້ກໍມາຈິກກິນແມງໄມ້ນັ້ນ...

...ຮັກທີ່ສອງ ແມ່ນຮັກສຸຂະພາບ ພືດຜັກຕ່າງໆ ຢູ່ນີ້ ໃຫ້ໝັ້ນໃຈໄດ້ເລີຍວ່າ ບໍ່ໄດ້ໃຊ້ສານເຄມີ ກິນໄດ້ຢ່າງສະບາຍໃຈ ຜູ້ຂຽນເອງກໍໄດ້ຮັບອານຶສົງຈາກຄວາມໃຈດີຂອງເຈົ້າຂອງສວນຢູ່ເລື້ອຍໆ...

...ຮັກທີ່ສາມ ແມ່ນຮັກເພື່ອນມະນຸດ ການແບ່ງປັນບົດຮຽນ ປະສົບການ ເພື່ອເປັນແນວທາງໃນການໃຊ້ຊີວິດ ການເປີດມຸມມອງໃຫ້ກວ້າງ ເຮັດໃຫ້ຄົນມີທາງເລືອກຫຼາກຫຼາຍຂຶ້ນ ໃນການຕັດສິນໃຈເຮັດເລື່ອງໃດເລື່ອງໜຶ່ງ...ໃນບ້ານດິນນີ້ ເປັນບ່ອນທີ່ທີມງານເຮົາໄດ້ນັ່ງລົມກັນ ແລກປ່ຽນປະສົບການນຳກັນກ່ອນທີ່ເຮົາຈະເດີນທາງກັບນະຄອນຫຼວງໃນວັນນັ້ນເລີຍ ເລື່ອງເລົ່າຈາກປະສົບການເຈົ້າຂອງສວນ ປະສົບການຂອງຜູ້ໄປຍ່ຽມຢາມ ໄຫຼອອກມາຄືນ້ຳຕົກກະບໍ່ປານ 😲 ຢ່າງໜ້ອຍກໍເຮັດໃຫ້ເຮົາໄດ້ເຫັນມຸມມອງທີ່ແຕກຕ່າງ ອັນໃດເອົາໄປໝຸນໃຊ້ໄດ້ກໍເອົາໄປ ນັ້ນລ່ະ ແມ່ນຈຸດປະສົງຂອງການແລກປ່ຽນຮຽນຮູ້ນຳກັນ...
...ພື້ນທີ່ບ່ອນນີ້ ໃຫ້ບໍລິການດ້ານສະຖານທີ່ສຳລັບກອງປະຊຸມ ແບບສະບາຍໆ ນັ່ງລົມກັນ ແຕ່ງກິນກັນເອງ ບັນຍາກາດດີຫຼາຍ ງຽບ ສະຫງົບ...

...ປັນຮັກ ບໍ່ແມ່ນແຄ່ສວນຈະປັນໃຫ້ເຮົາ ແຕ່ພໍຄິດເບິ່ງຄັກໆ ແລ້ວ ຕົວເຮົາເອງຕ່າງຫາກ ທີ່ຈະເປັນຜູ້ປັນ...ປັນໃຫ້ກັບຕົວເອງ ປັນໃຫ້ກັບທຳມະຊາດ ແລະ ປັນໃຫ້ກັບເພື່ອນຮ່ວມໂລກ...


...ສຸດທ້າຍ ແຕ່ບໍ່ແມ່ນທ້າຍສຸດ ຂໍຂອບໃຈເຈົ້າຂອງສວນໃຈດີ ເອື້ອຍບຸດສະດີ ທີ່ໄດ້ເປີດພື້ນທີ່ຮຽນຮູ້ ທີ່ບໍ່ແມ່ນແຄ່ເລື່ອງເຕັກນິກວິຊາການ ແຕ່ເປັນພື້ນທີ່ຊີວິດ ສຳລັບຜູ້ທີ່ສົນໃຈແລກປ່ຽນ ຮຽນຮູ້ມຸມມອງໃໝ່ໆ...ວັນດຽວຄົງຈະບໍ່ພໍກັບການຮຽນຮູ້ ຍ້ອນຄົນເຮົາຮຽນຮູ້ຕະຫຼອດຊີວິດ ດັງນັ້ນ ຄົງຈະມີໂອກາດໄດ້ໄປຍ່ຽມຢາມອີກເມື່ອມີເງື່ອນໄຂ...

...ຜູ້ໃດສົນໃຈຂໍ້ມູນ "ສວນປັນຮັກ" ສາມາດຕິດຕໍ່ຜູ້ຂຽນທາງອີເມວເດີ້...ຂອບໃຈ 🙏




ຂີດຄວາມສາມາດ 5 ລະດັບ...ເຈົ້າເດ ຢູ່ລະດັບໃດ໋...?


...ມີຫຼາຍເທືອທີ່ມີນ້ອງໆ ມາຖາມຜູ້ຂຽນວ່າ "ອາຈານ ເຮົາຊີຮູ້ໄດ້ແນວໃດ ວ່າເຮົາພັດທະນາຕົວເອງຮອດຂັ້ນໃດແລ້ວ...ທັ້ງໆ ທີ່ຕັ້ງຕົວວັດແທກ ແລະ ຄວາມປ່ຽນແປງໃນແຕ່ໄລຍະແລ້ວ ແຕ່ກໍຍັງບໍ່ຊັດເຈນເທືອ...?"

...ເປັນຄຳຖາມທີ່ດີ ຍ້ອນວ່າຄົນເຮົາຈະພັດທະນາຕົວເອງໃນເລື່ອງໃດເລື່ອງນຶງຕ້ອງມີເປົ້າໝາຍທີ່ຈະແຈ້ງ ຈຶງຈະສາມາດໄປໄດ້ຖືກທາງ ກຳນົດບາດກ້າວໄດ້ຊັດເຈນຂຶ້ນ ແລະຕິດຕາມຄວາມປ່ຽນແປງໄດ້ງ່າຍ...ຜູ້ຂຽນແບ່ງລະດັບຄວາມປ່ຽນແປງໃນດ້ານຂີດຄວາມສາມາດເປັນ 5 ລະດັບ...ລະດັບທີ່ຈະນຳສະເໜີນີ້ ເປັນແນວທາງທີ່ຈະຊ່ວຍໃຫ້ເຮົາໄດ້ເຫັນຄວາມປ່ຽນແປງຂອງເຮົາໄດ້ຈະແຈ້ງຂຶ້ນຕຶ່ມ...ລະດັບ 5 ລະດັບນີ້ ສາມາດໝູນໃຊ້ເພື່ອປະເມີນຫຼືວັດແທກຂີດຄວາມສາມາດໄດ້ຫຼາຍເລື່ອງ...ລອງມາເບິ່ງໄປພ້ອມກັນ...

ລະດັບທີ່ໜຶ່ງ ລະດັບພື້ນຖານ
ລະດັບທີ່ສອງ ລະດັບພັດທະນາ
ລະດັບທີ່ສາມ ລະດັບກ້າວໜ້າ
ລະດັບທີ່ສີ່ ລະດັບຊຳນານການ
ລະດັບທີ່ຫ້າ ລະດັບຊ່ຽວຊານ

ລະດັບທີ່ໜຶ່ງ ລະດັບພື້ນຖານ...ລະດັບທີ່ມີຄວາມຮູ້ ເຄີຍໄດ້ຍິນມາ ແຕ່ຍັງບໍ່ເຄີຍເຮັດ ສາມາດຕອບຄຳຖາມໄດ້ຕາມທີ່ໄດ້ຮູ້ມາ ຍັງບໍ່ສາມາດແປງຄວາມຮູ້ເປັນການປະຕິບັດໄດ້...

ລະດັບທີ່ສອງ ລະດັບພັດທະນາ...ລະດັບນີ້ສາມາດນຳຄວາມຮູ້ທີ່ມີ ທີ່ໄດ້ມາ ນຳໄປປະຕິບັດຕົວຈິງ ເຮັດໄດ້ ແຕ່ຕ້ອງມີຜູ້ໃຫ້ຄຳແນະນຳຢ່າງໃກ້ຊິດ ຖ້າເກີດຂໍ້ຜິດພາດ ຈະຍັງບໍ່ສາມາດແກ້ໄຂໄດ້ເອງ...

ລະດັບທີ່ສາມ ລະດັບກ້າວໜ້າ...ລະດັບນີ້ສາມາດເຮັດໄດ້ ແກ້ໄຂບັນຫາເອງໄດ້ໃນບາງເລື່ອງ ຖ້າມີບັນຫາທີ່ແກ້ບໍ່ໄດ້ ກໍຈະຮູ້ວ່າຊີຂໍຄວາມຊ່ວຍເຫຼືອຈາກຜູ້ໃດ ຂໍຢາມໃດ ຕ້ອງການຄຳແນະນຳສະເພາະຢາມທີ່ຕ້ອງການເທົ່ານັ້ນ ສາມາດວິເຄາະ ແລະ ສັງລວມໄດ້...

ລະດັບທີ່ສີ່ ລະດັບຊຳນານການ...ລະດັບນີ້ສາມາດເຮັດເອງໄດ້ ອອກແບບຂະບວນການໄດ້ເອງ ໃຫ້ຄຳແນະນຳຄົນອື່ນໄດ້ ສາມາດປັບປ່ຽນ ດັດແກ້ຂະບວນການເພື່ອໃຫ້ແທດເໝາະກັບສະຖານະການຕ່າງໆ ໄດ້ ສາມາດວິເຄາະ ສັງລວມໄດ້ ແລະ ປະເມີນຜົນງານໄດ້...

ລະດັບທີ່ຫ້າ ລະດັບຊ່ຽວຊານ...ຖ້າເວົ້າເລື່ອງນີ້ ຖ້າເຮັດເລື່ອງນີ້ ຕ້ອງແມ່ນຜູ້ນີ້ ສາມາດເປັນຕົວແບບໄດ້ ໃນເລື່ອງຄວາມສາມາດ ໃນເລື່ອງພາບລັກ ເຮົາສາມາດເວົ້າໄດ້ວ່າ ມີຄວາມໂດດເດັ່ນທາງດ້ານຄວາມຮູ້ ຄວາມສາມາດ ແລະພາບລັກໃນເລື່ອງໃດເລື່ອງນຶງ ເປັນທີ່ຍອມຮັບວ່າ "ຄັກ" ໃນເລື່ອງນັ້ນໆ...

...ແລະແນ່ນອນລ່ະວ່າ ຂີດຄວາມສາມາດຂອງຄົນເຮົານັ້ນບໍ່ສາມາດແຍກອອກເປັນລະດັບທີ່ຊັດເຈນໄດ້ ແຕ່ລະດັບເຫຼົ່ານີ້ກໍເປັນເກນໃນການວັດແທກເບື້ອງທຳອິດເພື່ອໃຫ້ເຮົາສາມາດປະເມີນຂີດຄວາມສາມາດຂອງຕົວເອງໄດ້...

...ສົນໃຈລາຍລະອຽດເພິ່ມຕຶ່ມ ຫຼື ວິທີການນຳໄປໃຊ້ກັບວຽກງານ ການພັດທະນາຕົວເອງ ສາມາດຕັ້ງຄຳຖາມໃນຊ່ອງສະແດງຄຳເຫັນໄດ້ເລີຍ ຫຼືວ່າ ສົ່ງອີເມວສອບຖາມໄດ້ ຜູ້ຂຽນຍິນດີຕອບທຸກຄຳຖາມເຈົ້າ...😊

พัทลุง...ยังไม่หายคิดถึงเลย...

...วันที่สามของทริปล่องใต้...พัทลุงคือเป้าหมายครับ งานนี้ต้องขอบคุณนายช่างสาโรจน์ และครอบครัวที่น่ารัก น้องแกะ ลูกเอส และโยเกิร์ต ที่ให้การต้อนรับและดูแลจนเราไม่อยากกลับบ้านกันเลยครับ...


...หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เราก็ออกเดินทางไปที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งห่างจากสงขลาประมาณ 120 กิโลเมตร เราใช้เวลานั่งรถกันสองชั่วโมงกว่าๆ แวะปั๊มท์ แวะร้านกาแฟไปเรื่อย สบายๆ ไม่เร่งรีบอะไรมาก...เป้าหมายแรกที่เราจะไปคือบ้านนายช่างสาโรจน์ ซึ่งผมไม่ได้มาร่วมสิบปีแล้วครับ...ตื่นเต้น ตื่นเต้น 😊

...คุณตา คุณยายพบกัน ก็ต้องมีการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย...ในความรู้สึกของผู้เขียน เมื่อเห็นผู้สูงวัยอยู่ด้วยกัน รู้สึกดีมากครับ เป็นอารมณ์แบบดีใจ สุขใจที่ยังเห็นท่านสุขภาพแข็งแรง (ตามอัตภาพ) สุขภาพจิตดี...ผู้เขียนจะบอกลูกหลานเสมอว่า คุณตา คุณยายอายุยืนนี่ดีแล้ว ท่านอยู่เพื่อให้ลูกหลานได้ทำดีกับท่าน ได้ดูแล ได้ตอบแทนบุญคุณท่าน บุญที่เห็นตัวตน เห็นผลแบบไม่ต้องรอชาติหน้าหรือชาติไหน ให้รีบทำเลยในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทำแล้วสุขใจทันทีครับ ขอบอก...

เครดิตภาพ: โยเกิร์ต
...ถึงคิวลูกๆ หลานๆ ถ่ายรูปกันบ้างแล้วครับ...มิตรภาพที่ดี ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากความตั้งใจที่จะดูแล และ หล่อเลี้ยงให้เติบใหญ่ งดงามครับ...เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เราได้พบกับความสวยงามของคำว่ามิตรภาพ อย่าใจร้อน อย่าคาดหวังกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นครับ...

...ที่จังหวัดพัทลุงมีที่เที่ยวหลายที่ครับ ทั้งธรรมชาติ ทั้งวัดวาอาราม...ผู้เขียนยังจำได้ว่าครั้งแรกที่มาพัทลุงในปี 2540 สมัยที่แรงยังดี ผู้เขียนกับเพื่อนได้วิ่งขึ้นเขาอกทะลุ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของพัทลุง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สมัยนั้นบันไดยังไม่เสร็จครับ แต่ปัจจุบันสบายแล้ว เพราะมีบันไดขึ้นไปถึงยอด...ทริปนี้ ก็เปลี่ยนแนวครับ เน้นเดินชม ก็เลยพาคุณตา คุณยาย ไปช๊อปปิ้ง ที่สวนไผ่ขวัญใจ...

เครดิตภาพ: นายช่างสาโรจน์
...สินค้าที่นี่เน้นที่อาหารการกิน และ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นครับ หลากหลายมาก เดินซื้อ เดินกิน แวะร้านโน้น แวะร้านนี้ ซื้ออย่างละนิด อย่างละหน่อย ก็อิ่มแล้วครับ...อิ่มแล้ว ก็มีที่นั่งพักผ่อน มีการแสดงดนตรี การร่ายรำพื้นบ้านให้ชมด้วยนะครับ ถือว่าสบายท้อง สบายหู สบายตา...

เครดิตภาพ: นายช่างสาโรจน์

เครดิตภาพ: นายช่างสาโรจน์

...เสร็จจากการเดินช๊อปปิ้ง เราก็ไปต่อกันที่ทะเลน้อยครับ รับประทานอาหารเที่ยงกันที่นั่น และ เช่นเคย เจ้าภาพ นายช่างสาโรจน์...ขอบคุณครับ 🙏

ขอบคุณเจ้าภาพมื้อเที่ยงอีกครั้งหนึ่งครับ...ขอบคุณนายช่างสาโรจน์...

...เมื่ออิ่ม ก็เริ่มหามุมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกครับ....
รูปที่ 1

รูปที่ 2
รูปที่ 1 และ รูปที่ 2 ต่างกันตรงไหนครับ....?

เรียงตามลำดับความหล่อ...หล่อพ่อ หล่อลูก...😍

...แวะไปดูควายน้ำกันครับ ที่บริเวณทะเลน้อย...

สาวๆ กับป้ายบอกทางที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย...

...ปิดท้ายวันที่ "นาโปแก" นา หมายถึงท้องนา...โปแก หมายถึง พ่อแก่ พ่อของแม่ หรือ ตาครับ ถ้าออกเสียงสำเนียงคนพัทลุง หรือคนใต้ จะออกเสียงว่า โปแก ครับ...ที่นี่มีการสาธิตการทำนา ปลูกข้าว มีร้านค้าขายสินค้าพื้นเมือง ถือว่าเป็นจุดขายของพัทลุงอีกที่นึงครับ...

...เวลาแห่งความสุข เดินเร็วมาก...เราใช้เวลาหนึ่งวันในการท่องเที่ยวที่พัทลุง ถ้ามีเวลาซักสามวัน คงจะได้ไปหลายที่ ได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย ...

..."ยังไม่หายคิดถึงเลย กลับซะแล้ว...😢"...เป็นคำพูดของเพื่อนที่มาส่งผู้เขียนและคุณตาคุณยายที่สนามบินหาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น...เอาไว้โอกาสหน้า เราจะกลับมาอีกครับ...😊
...
...
...
...คุณตา คุณยาย เดินทางกลับถึงภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ 😍...



วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

เคล็ดไม่ลับ 3 เรื่องที่จะทำให้การเที่ยวกับผู้สูงวัยคุ้มค่าสุดๆ

...ต่อจากตอนที่แล้วครับ ทริปล่องใต้กับคณะคุณตา คุณยาย...ทีแรกตั้งใจจะใช้ชื่อคณะนี้ว่าทริปหอยทาก เพราะต้องค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แต่ผู้เขียนต้องเปลี่ยนใจ เพราะประเมินดูแล้วยังไปได้เร็ว ไปได้คล่อง แม้อายุจะเข้าแปดสิบกันแล้ว...

...มีเคล็ดไม่ลับในการเที่ยวกับผู้สูงวัยมาฝากกันครับ อยู่ตอนท้ายๆ เรื่่อง...และ เพื่อให้เห็นบรรยากาศการท่องเที่ยวก่อนก็ลงรูปให้ดูล่ะกันครับ...แต่ถ้ารีบ ก็เลื่อนไปดูตอนท้ายก่อนก็ได้นะครับ 😁

...วันแรกเราเที่ยวกันที่หาดใหญ่กันครับ (ติดตามได้จากตอนที่แล้ว)...วันที่สองเที่ยวกันที่สงขลา ส่วนวันที่สามเที่ยวกันที่พัทลุงครับ...

เริ่มต้นด้วยอาหารเช้าขึ้นชื่อของสงขลา "ข้าวสตู" แถวย่านเมืองเก่าสงขลาครับ...

เช้าๆ ต้องหนักหน่อยครับ จะได้มีแรง...

ไหว้พระที่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา

แหลมสนอ่อน สวนสองทะเล...ส่วนหัวพญานาค...
สะดือพญานาค อยู่ระหว่างแหลมสนอ่อน กับหาดสมิหลา...
และหางพญานาค จะอยู่ที่หาดชลาทัศน์...

เมืองสงขลาครับ...มองจากยอดเขาตังกวน...

อีกมุมองเมืองสงขลา จากยอดเขาตังกวน...

คุณตายืนดูเกาะหนูเกาะแมวจากยอดเขาตังกวน...

ปิดท้ายของวันที่สองที่หาดสมิหลาครับ...
เดินมากขนาดที่ถุงเท้าลงไปกองที่ตาตุ่ม 😁

รับลมทะเล...สดชื่น หายเมื่อยกันเลยละครับ...

ปิดท้ายวันด้วยอาหารเย็นที่ริมหาดสมิหลา...
อร่อยจนลืมคลอเลสเตอรอลกันไปเลย...

...ทริปวันที่สองนี้ นำทีมโดยผู้กองอรุณ และครอบครัวที่น่ารัก...ทำหน้าที่ดูแลไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานด้านการท่องเที่ยวเลย ฮ่าๆๆๆ...ขอบคุณจากใจ 🙏

...ทริปนี้ไม่ใช่ทริปแรกที่ผู้เขียนได้พาทีมผู้สูงวัยเดินสายครับ ไปมาหลายรอบแล้ว และได้บทเรียนหลายเรื่อง พอที่จะสรุปเคล็ดไม่ลับในการพาผู้สูงวัยเที่ยวครับ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องวุ่นวาย ยุ่งยาก แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณได้ลองดูซักครั้ง คุณอาจจะได้ค้นพบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณก็เป็นไปได้ ใครจะไปรู้...เคล็ดไม่ลับ 3 เรื่องที่จะทำให้การท่องเที่ยวกับผู้สูงวัยคุ้มค่าสุดๆ...

...เคล็ดไม่ลับที่ 1 ต้องมีการวางแผน กำหนดสไตล์การเที่ยวครับ จะเที่ยวแบบไหน...ไปไหว้พระ เที่ยวชมสถานที่สำคัญ นอนรับอากาศบริสุทธิ์...ไปกันกี่วัน พักที่ไหน ใกล้ที่เที่ยว ที่กิน ที่ช๊อป (คุณยายชอบจับจ่าย)...การเดินทางเพื่อไม่ให้ลูกทีมต้องเหนื่อยมาก ต้องแวะพักบ่อยๆ ครับ ยืดเส้นยืดสาย...ผู้เขียนให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก เพื่อให้เกิดความสะดวกและสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ...บางทริปผู้เขียนต้องไปสำรวจเส้นทาง ที่พัก อาหารการกินก่อน เพื่ออำนวยความสะดวกลูกทัวร์ครับ...

...เคล็ดไม่ลับที่ 2 เตรียมความพร้อมลูกทัวร์...ลูกทัวร์จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ หากทริปนั้น ไปสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน เราต้องให้ข้อมูลกับลูกทัวร์ของเราให้มากที่สุด นับตั้งแต่สไตล์การเที่ยวครับ จะพักที่ไหน อาหารการกิน การแต่งกาย...มีทริปนึง เราไปกันที่อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ตอนนั้นไปช่วงหน้าหนาว เราก็หอบผ้าห่มไปด้วยเกือบเต็มคันรถ เพราะได้ข่าวว่าหนาวจัด แต่พอเอาจริงๆ ได้ใช้แค่วันเดียว นอกนั้นร้อนมั่กๆ แต่ต้องเตรียมครับ...นอกจากนั้น วิธีการเดินทางก็ต้องแจ้งด้วย ไปรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน ท่านๆ ก็จะได้เตรียมหมอนรองคอบ้าง ผ้าพันคอบ้าง เสื้อแขนยาวบ้าง หมวกบ้าง กันหนาว กันร้อนว่างั้นเถอะ...

...เคล็ดไม่ลับเรื่องที่ 3 เปิดใจเรียนรู้ และ ยืดหยุ่น...เชื่อมั๊ยครับว่า ผู้เขียนได้รู้จักพ่อแม่มากขึ้น ก็ตอนพาท่านไปเที่ยวนี่ล่ะครับ บางเรื่องท่านไม่เคยเล่าให้เราฟังหรอกครับ มันเยอะมาก ท่านผ่านมาเยอะ พอเราพาท่านไปที่นั่นที่นี่ ท่านก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง ตรงนี้เคยมานะ สมัยเป็นหนุ่ม ตรงนั้นมีคนรู้จักนะ สารพัดเรื่องเลยล่ะครับ...ผู้เขียนเองก็ได้โอกาสแบบนี้ล่ะครับ ที่จะเรียนรู้ ผ่านการเล่าเรื่องของท่าน ได้เข้าใจมุมมอง วิธีคิดของท่าน บางเรื่องก็ "อ๋อ" บางเรื่องก็ "เอ๊ะ"...นอกจากนั้นแล้ว การเที่ยวกับผู้สูงอายุนี่ เราจะต้องมีความพร้อมกับการปรับเปลี่ยนแผนได้ครับ พูดง่ายๆ คือต้องยืดหยุ่นครับ เดี๋ยวมีตัดรายการนั้น เพิ่มรายการนี้ ตามสภาพครับ ไม่ว่าจะเป็นความเมื่อยล้าจากการเที่ยว การไม่สบายฉุกเฉิน...อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ...

...เที่ยวให้สนุกนะครับ...และ อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะครับ เหลือเที่ยวจังหวัดพัทลุงอีกหนึ่งที่ครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

3 สิ่งที่คุณได้รับจากการพาพ่อแม่เที่ยว...

...ทริปนี้เป็นทริปล่องใต้ครับ เป็นทริปที่มีจุดประสงค์หลากหลาย นับตั้งแต่คุณตาอยากขึ้นเครื่องบินซักครั้งในชีวิต ทั้งๆ ที่ลูกๆ จะจัดให้มาหลายครั้ง แต่ท่านไม่ยอมขึ้นซักที ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถบอกลูกๆ ได้ (ฮ่าๆๆๆ)...จุดประสงค์ของผู้เขียนที่ตั้งใจจะพาท่านพ่อ ท่านแม่ ไปเที่ยวอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศแถวๆ บ้านเรานี่ล่ะครับ หรือในประเทศ ซึ่งมีที่เที่ยวหลายที่ที่น่าสนใจ...อีกเรื่องก็เป็นของผู้เขียนอีกล่ะครับ อยากไปเยี่ยมน้องชาย และเพื่อนที่ใต้ ซึ่งไม่ได้พบกันมานานกว่าสิบปี...ครับ เมื่อรวมๆ ไปแล้ว เราก็สรุปได้ว่า เป้าหมายคือหาดใหญ่, สงขลา และพัทลุงครับ...

ทีมงานคุณตา คุณยาย ณ สนามบินขอนแก่น...

...สมาชิกก๊วนนี้มีทั้งหมด 5 คนครับ รวมผู้เขียนไปด้วย นับอายุรวมกันก็จะได้ประมาณสามร้อยกว่าปี ถือว่าเป็นคุณค่าที่กว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยครับ...ทริปนี้เดินทางด้วยเครื่องบิน ด้วยเหตุผลที่ได้เล่าให้ฟังมาตั้งแต่ต้น และเพื่อให้คุณตา คุณยาย ไม่เมื่อยล้าจากการเดินทางมากจนเกินไป และมีเที่ยวบินที่บินตรงจากขอนแก่นสู่หาดใหญ่ครับ ก็เลยทำให้การจัดการง่ายขึ้น...

...เราออกบินจากขอนแก่นประมาณเก้าโมงเช้า ✈ อากาศดีมาก บินสบาย ไม่ตื่นเต้น เราใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาที ก็เดินทางถึงสนามบินหาดใหญ่ และได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น เป็นกันเองจากทีมงานของคุณเพื่อน นายช่างสาโรจน์ และทีมคุณน้องชาย ผู้กองอรุณ...ขอขอบคุณ 🙏 มา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง...

ทีมงานคุณภาพ

...หลังจากที่ได้แนะนำตัวกันเป็นที่เรียบร้อย ทานข้าวเที่ยงที่หาดใหญ่ โดยเจ้าภาพใหญ่ นายช่างสาโรจน์👏 เราก็เริ่มภารกิจการท่องเที่ยวทันที งานนี้ได้รับการอำนวยความสะดวกจากทีมงานนายช่างสาโรจน์ และ ผู้กองอรุณ เช่นเคยครับ...จุดแรกคือเขาคอหงส์ครับ จุดนี้คุณตา คุณยาย ได้ปฏิบัติภารกิจ 3 อย่างด้วยกัน...ภารกิจแรก สักการะพระพุทธมงคลมหาราชปางห้ามญาติที่ประดิษฐานบนเขาลูกแรกที่เราขึ้นไปถึงครับ...

พระพุทธมงคลมหาราชปางห้ามญาติ

...ภารกิจที่สอง ภารกิจเสียว...เสียวจริงๆ ครับ...คุณตา คุณยาย นั่งกระเช้าข้ามจากเขาลูกที่ 1 ไปหาลูกที่ 2 ซึ่งบนยอดเขาลูกที่สองจะเป็นที่ตั้งของศาลท้าวมหาพรมครับ และภารกิจที่สาม ณ เขาคอหงส์ คือการสักการะท้าวมหาพรหม...

นั่งกระเช้าจากยอดเขาลูกที่ 1 ไปหายอดเขาลูกที่ 2...นิ่งมากครับ...

สักการะท้าวมหาพรหมประจำหาดใหญ่...สาธุ อายุยืนหมื่นๆ ปี

...ภารกิจของวันแรกยังไม่จบแค่นั้นนะครับ ลงจากเขา เราไปต่อที่ตลาดสันติสุข งานนี้คุณยายไม่บ่นไม่ว่าเรื่องปวดขาแล้วครับ เดินละลายทรัพย์ จับจ่ายซื้อของฝากลูกฝากหลาน ดูมีความสุขกันมากครับ หายเหนื่อยเมื่อได้จ่าย...เวลาแห่งความสุขจากการได้จับจ่ายช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เราต้องเดินทางกันต่อเพื่อเข้าที่พักที่ อ.จะนะ จ.สงขลาครับ...

...ในช่วงหัวค่ำ ก่อนการพักผ่อนเพื่อเอาแรง เราได้ไปทานมื้อเย็นที่พิเศษอีกมื้อ สนับสนุนโดยผู้กองอรุณ น้องชายของผู้เขียน...อาหารทะเลสดๆ หอย ปลา และ อื่นๆ เพื่อเติมพลัง...ขอขอบคุณผู้กองอรุณ และครอบครัวที่น่ารักอีกครั้งหนึ่งครับ 😍...

...นี่ก็เป็นอีกภารกิจที่ลูกพึงมีต่อพ่อแม่ ที่ผู้เขียนได้ทำมาอย่างต่อเนื่องครับ เมื่อมีเวลา มีโอกาส...และ 3 สิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่ามีความสำคัญ และ เป็นการสร้างพลังชีวิตให้กับเรา เมื่อเราได้ทำดีกับพ่อแม่ ก็มีดังนี้ครับ...

...เรื่องที่หนึ่ง ความสุขจากการได้ทดแทนบุญคุณ ที่ท่านเลี้ยงดูเรามา...แน่นอนครับ ชาตินี้ทั้งชาติ คงทดแทนไม่หมดหรอกครับ แต่เราทำแล้วหรือยัง...การทำให้ท่านมีความสุข สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เป็นการต่ออายุให้ท่านได้อยู่กับเราอีกนานๆ ตัวเราเองก็มีความสุขด้วยครับ ไม่เชื่อลองทำดูนะครับ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำได้ครับ...กอด ยิ้ม จับมือ จูงมือ ทำเลยครับ...

...เรื่องที่สอง ความรักที่ให้กับตัวเองเพิ่มมากขึ้น...กว่าเราจะมีวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาจนโตขนาดนี้ แม้ว่าเราจะดูแลตัวเองได้แล้ว ทำงานมีเงินเดือน มีครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่เราหาไม่ได้จากสิ่งที่เราสร้างมา คือ ความรักของพ่อแม่นี่ล่ะครับ...ยิ่งพิจารณาถึงความรักที่ท่านมีต่อเรา ยิ่งทำให้เรารู้จักรักตัวเองมากขึ้น ร่างกายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของท่าน เป็นเลือด เป็นเนื้อของท่านที่ฟูมฟักมาตลอดชีวิต หากเราไม่ดูแลให้ดี เราจะทำให้ท่านทุกข์ไปด้วยครับ...

...เรื่องที่สาม เราได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกหลาน ในการดูแลพ่อแม่...เป็นเรื่องสำคัญนะครับ เด็กๆ ต้องการตัวแบบที่ดี ที่เห็นได้จริงๆ ไม่ใช่ตามคลิป ตามข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต...ถ้าทำให้เขาเห็นบ่อยๆ เด็กๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับถึงความรักความอบอุ่นของครอบครัว การดูแลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ...ถ้าเด็กๆ ไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ในอนาคตเขาก็จะดูแล และให้ความรักกับท่านในแบบที่ท่านอาจจะคาดไม่ถึงเมื่อท่านสูงวัย ก็เป็นไปได้ครับ...

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

3C...สูตรสำเร็จนั้นมีมากมาย แต่จะสำเร็จหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง...ตอนสุดท้าย

...ครับ ในตอนที่ผ่านมา ลูกศิษย์กับอาจารย์ก็ได้สนทนากันเรื่อง "3C" เป็นแนวทางไปสู่ความสำเร็จ หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ "เครื่องมือกำกับการเดินทางสู่เป้าหมาย" ครับ...

...Clarity คือ C ตัวที่หนึ่งที่ได้คุยกันไป หมายถึงความชัดเจนในสิ่งที่เราจะทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องชัดเจนว่า เป้าของเราคืออะไร จะทำอะไร จะทำไปทำไม ไปถึงไหน ไปอย่างไร เจอปัญหาจะแก้ไขอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงคืออะไร และ จะวัดผลอย่างไร...

...C ตัวที่สองคือ Consistency ครับ หมายถึง ความสม่ำเสมอ...เป็นการบอกถึง "จังหวะก้าว" บอกเวลา บอกถึงกระบวนการ ว่าจะต้องทำอะไร เมื่อไหร่ ระยะเวลาห่างกันมากน้อยแค่ไหน...กระบวนการ จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะทำเมื่อไหร่ ทำนานแค่ไหน ด้วยวิธีอย่างไร เพื่อที่จะเชื่อมโยงไปหากิจกรรม หรือเรื่องต่อไป...

...เปรียบเทียบกับการวางแผนเดินทางไปที่จุดหมายหนึ่ง เราก็จะกำหนดว่า เราจะออกจากจุดที่หนึ่ง ไปหาจุดที่สอง จะใช้เวลามากน้อยขนาดไหน ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นระหว่างทางบ้าง...และจากจุดที่สองไปหาจุดที่สาม และ ต่อๆ ไปจนถึงจุดหมาย...เราก็ทำตามที่กำหนดไว้ นี่ล่ะครับที่เรียกว่า จังหวะก้าว...

...C ตัวสุดท้ายครับ Continuity หมายถึง ความต่อเนื่อง...จากมุมมองของผู้เขียน ความต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การทำอะไรก็ตามสามารถบรลุได้...ความต่อเนื่อง เป็นเรื่องของการทำไปแบบไม่หยุด ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่ขาดตอน...

...ความต่อเนื่อง ก็ต้องอาศัยศิลปะในการบริหารเช่นกันครับ เช่น เวลาเราเจอกับปัญหา เราจะแก้ไขอย่างไร มองปัญหาในมุมไหน มุมท้าทาย มุมสุดแย่ มุมแบบช่างมันเถอะ...มุมมองส่งผลต่อผลต่อความต่อเนื่องครับ ดังนั้น เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ที่จะไม่ให้จังหวะก้าวของเราสะดุด หรือถ้าสะดุด ก็ต้องไปต่อให้ได้...ผู้เขียนจะถามตัวเองเสมอเมื่อเจอปัญหา คำถามนั้นคือ "What is next?" เราก็จะไปต่อได้โดยไม่ติดกับดักทางความคิด หรือจมอยู่กับการถามว่า "ใครผิด" ครับ...หรือบางคนก็ใช้วิธีถามตัวเองเมื่อเจอปัญหา ประเภทกลืนไม่เข้า คายไม่ออก ว่า "เป้าหมายของเราคืออะไร เราต้องการเห็นอะไร" นี่ก็จะทำให้เราไม่หลงทาง และกลับคืนมาสู่จังหวะก้าวของเราได้ง่ายขึ้น...

...ถ้าหากพิจารณา 3C ในฐานะเครื่องมือกำกับการเดินทางสู่เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต เรื่องการวางแผนโครงการ การวางแผนพัฒนาคน พัฒนาองค์กร เราก็จะเห็นความลงตัวของการผสมผสานทั้ง 3C นี้อย่างลงตัว...

...การที่เรามี "ความชัดเจน" ว่าจะทำอะไร เพื่อให้บันลุอะไร ก็มีความสำคัญ เป็นการวางเป้าหมายว่าเราต้องไปให้ถึง...

...การวาง "จังหวะก้าว" ที่มีความสม่ำเสมอ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไร เมื่อไหร่ มีระยะเวลาสั้นยาว ความถี่มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย...

...และ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่กำหนดไว้ตามแผน เราก็ต้องมี "ความต่อเนื่อง" เป็นตัวขับเคลื่อนจังหวะก้าว ให้มันไปให้ได้...

...ก็ลองๆ ดูนะครับ...ข้อคิดมีอยู่มากมาย ทั้งจากคนอื่น และจากตัวเอง สำคัญตรงที่เราจะลงมือทำเมื่อไหร่ เพื่อให้ได้เห็นประโยชน์นั้นจริงๆ...ไม่ลองไม่รู้ครับ (สิ่งดีๆ นะครับ) แล้วคุณก็จะพบกับความเปลี่ยนแปลงด้วยตัวท่านเองครับ...😊

บทความที่มีผู้เข้าอ่านมากที่สุด